=====================
การกลับบ้านครั้งสุดท้าย
=====================
ในซอยเปลี่ยวดึกสงัด มีสายฝนพรำปรอยๆ ผู้คนส่วนมากคงพากันพักผ่อนหลับนอน ชายหนุ่มเดินอย่างไม่เร่งรีบและไม่สนใจต่อความเปียกชื้น เพราะกำลังสนใจกับความคิดของตัวเอง
นานเท่าไรแล้วนะที่ชายหนุ่มไม่ได้เดินทอดน่องยามดึกแบบนี้
ทุกคืนรถแท็กซี่จะส่งเขาถึงบริเวณหน้าบ้านพร้อมกับอาการปั่นป่วนมวนท้องสะลืมสะลือเมามายจนจดจำอะไรแทบไม่ได้ บางทีชายหนุ่มหายออกจากบ้านไปหลายวัน โดยไม่สนใจคนผู้เฝ้ารออยู่ที่บ้าน ชีวิตช่วงหนุ่มหายไปกับการปีนลงไปในขวดเหล้าและอ่างอาบน้ำ ผู้หญิงและการพนัน สารพัดแห่งโลกีย์กิเลสทางโลก
ลูกสาววัยสี่ห้าขวบ เธอยังเด็กเกินไป เขาจึงไม่เกรงอกเกรงใจ ก็เป็นเพียงเด็กๆ ไม่เห็นจะต้องดูแลอะไรมาก เพราะมีคุณแม่คอยดูแลอยู่แล้ว เด็กก็คือเด็ก มีความสุขตามประสาเด็กๆ จะคิดอะไรให้มากมายเปลืองสมอง
นานมากแล้วที่เขาไม่ได้อุ้มลูกสาว กอดหอมด้วยความเอ็นดู ก็คงไม่เป็นไร ยังไงก็เป็นพ่อลูกกันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องแสดงความรักอะไรมากมาย รู้ๆกันอยู่ ชายหนุ่มมักคิดแบบนั้นเสมอ
ภรรยา...แม่ของลูก คนเฝ้าดูแลบ้านตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เธอเป็นแม่บ้านก็ควรประพฤติตัวเป็นแม่บ้านที่ดี ทำงานบ้าน มีความสุขกับการเก็บกวาดทำงานบ้าน เลี้ยงลูกอยู่กับบ้านอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่ต้องออกไปไหนมาไหนโดยไม่จำเป็นนอกจากไปจ่ายตลาด ออกนอกบ้านบ่อยเกินไปเดี๋ยวเปลืองตาย ปล่อยหน้าที่การออกจากบ้านให้เป็นภาระของสามีแสนดีอย่างเขาจะดีกว่า
นานเท่าไรนะที่ชายหนุ่มไม่ได้กระซิบคำว่ารักกับเธอ แต่มันคงไม่สำคัญหรอก ไหนๆ เธอก็เป็นภรรยาของเขาอยู่แล้วอย่างเชื่องเชื่อ จะหวานไปทำไมให้เสียเวลา ก็คำว่ารักนั่นมันใช้กันพร่ำเพรื่อตอนก่อนแต่งงานไปแล้ว ตอนนี้ต้องถึงเวลาประหยัดบ้าง บอกไปเดี๋ยวจะได้ใจ คำพูดดีๆมีค่าควรเมืองเก็บเอาไว้ใช้กับสาวๆ นอกบ้านดีกว่า
ส่วนตัวของสามี...เป็นผู้หาเงินหาทองเลี้ยงดูลูกเมีย ก็ควรได้รับรางวัลและสิทธิพิเศษ เช่นการออกไปผ่อนคลายความเครียด หาความสุขนอกบ้านบ้าง ยังไงก็ไม่ถึงกับทุกวัน แค่เกือบทุกวันเท่านั้นจะเป็นไร กฎหมายก็ไม่ได้ห้ามไว้
กี่คืนแล้วนะ สำหรับเฝ้ารอคอยการกลับบ้านของสามี แม้ว่าบางคืนผู้เป็นสามีไม่ได้กลับบ้านด้วยซ้ำ บางคืนชายหนุ่มกลับบ้านประมาณตีสองตีสามเธอก็ยังนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก ดูรายการทีวี ฟังวิทยุฆ่าเวลาไปตามเรื่องตามราว เขาเห็นแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายรำคาญเหลือเกิน ทำไมจะต้องมานั่งรอให้เสียเวลานอนด้วยก็ไม่รู้ พวกผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริงๆ แค่เข้าไปนอนเสียก็สิ้นเรื่อง ข้าวปลาอาหารเขาก็จัดการเรียบร้อยมาจากข้างนอก ไม่เห็นต้องมาคอยถามว่ากินอะไรมาหรือยัง ไม่ต้องมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ก็ได้ เพราะสาวๆสวยๆ ดูแลเรื่องพวกนี้ให้เรียบร้อยก่อนกลับบ้านไม่ต้องมาทำหน้าเศร้าๆ ให้เห็น มันไม่สบอารมณ์ เห็นทีไรก็อารมณ์เสียหงุดหงิดจนเขาต้องตะคอกใส่ด้วยเสียงอันดังเสียแทบทุกครั้ง และห้ามเถียงโดยเด็ดขาด
นานเท่าไรกันนะที่ชายหนุ่มคิดแบบนั้น นึกแล้วอดตกใจต่อความคิดของตนเองไม่ได้ เพราะตอนนี้เขาเพิ่งเริ่มรู้สึกถึงความรักความอบอุ่นของคำว่า “ครอบครัว” ประสบการณ์ยาวนานสอนชายหนุ่มให้รู้สึกถึงความผิดพลาด เมื่อบริษัทค่อยล้มละลายลงต่อหน้าตาตา เพื่อนฝูงหลบลี้หนีหน้าราวกับเขาเป็นตัวเชื้อโรค และเงินก้อนสุดท้ายที่มีก็ใช้ไปในการละลายความทุกข์ของตัวเอง สาวหลายคนที่เคยติดต่อได้ต่างพากันไม่ยอมแม้แต่จะรับสาย เขากลายเป็นไอ้ขี้แพ้
แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาเริ่มรู้จักกับตัวเองและครอบครัวมากขึ้น
สิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ตอนนี้คือบ้านและครอบครัว สิ่งที่เขาห่างเหินไม่สนใจมานานหลายปี
การกลับบ้านในสภาพยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่เหลือเกิน ความเงียบและความหนาวเย็นทำให้ความคิดต่างๆ นานาหลั่งไหลเข้ามาในความคิดไม่ขาดสายพร้อมกับความรู้สึกผิดซึ่งทวีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ภรรยาผู้แสนดีเธอยังจะนั่งรอเขาอยู่อย่างที่เคยทำหรือไม่ ลูกสาวคงหลับไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง และเริ่มวิตกหวาดกลัวว่าควรจะทำสีหน้าท่าทางอย่างไรดีกับภรรยาคู่ชีวิต ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นปัญหาขึ้นมาได้ เธอจะตกใจหรือไม่เมื่อเห็นเขากลับบ้านเป็นคืนแรกโดยไม่เมา!
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน ชายหนุ่มรีๆรอๆ ยังไม่กล้าเข้าไป ไฟบริเวณชั้นล่างยังเปิดอยู่ ใช่แล้ว... เธอต้องนั่งรอเขาอยู่อีกตามเคย พอคิดได้ชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่นและดีใจขึ้นมาอย่างประหลาด ทั้งที่เธอเคยนั่งรอเขานับครั้งไม่ถ้วนและทุกครั้งจะมีแต่ความน่ารำคาญสำหรับชายหนุ่ม
แต่คนแรกที่เขาเจอกลับเป็นลูกสาวตัวน้อย เธอยืนรออยู่หน้าประตูห้องนั่งเล่น ในมืออุ้มตุ๊กตาตัวโปรดมาด้วย พอเห็นหน้าผู้เป็นพ่อเธอก็วิ่งเข้ามากอดอย่างดีใจ แม้ว่าเวลาที่ผ่านมาเขาจะไม่ได้ให้ความรักความอบอุ่นกับเธอมากเท่าที่ควรก็ตาม
“ทำไมลูกยังไม่นอน”
ชายหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง เพราะนี่ไม่ใช่เวลาเด็กๆจะมาวิ่งเล่นกัน
“หนูนอนไม่หลับค่ะคุณพ่อ...หนูคิดว่าคุณพ่อจะมา.”
ลูกสาวบอกเสียงใส ชัดบ้างไม่ชัดบ้างตามประสาเด็กๆ ตาเป็นประกายสดใสซึ่งจะสุขทุกข์อย่างไรดูง่ายไร้การเสแสร้งปิดบัง โถ...เด็กเอ๋ย...หัวใจอันบริสุทธิ์ช่างเร็วไวต่อลางสังหรณ์เหลือเกิน
“คุณแม่ล่ะจ๊ะ”
หลังจากพูดคุยซักถามสารทุกข์สุขดิบกันครู่หนึ่ง ผู้เป็นพ่อก็ถามเข้าประเด็น เพราะไม่เห็นมีใครอีกในห้องนั่งเล่น วูบหนึ่งความน้อยใจวิ่งพรวดพราดเข้ามาในความคิดอย่างไม่ให้ตั้งตัว อะไรกัน...ก็ทุกคืนเคยนั่งรอ... แล้วทำไมคืนนี้... คืนที่เขาเริ่มรู้สึกผิดและรู้สึกดีต่อครอบครัวกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ช่วงเวลาอันสวยงามกำลังจะคลี่ขยายประกายแห่งความสุข เธอควรจะเป็นคนแรกในการรับรู้
รับรู้ความตั้งใจของสามีผู้จะกลับตัวกลับใจ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่มีอีกแล้วผู้ชายขี้เมาหยาบคาย เอะอะโวยวาย และเอาแต่ใจคนนั้น จะมีแต่ผู้ชายแสนดีผู้รีบกลับบ้านตรงเวลา ผู้ชายที่จะปรี่ไปหาคนรักเป็นอันดับแรก บรรจงจูบสองแก้มเธอด้วยความรักความคิดถึงไม่ว่าเธอจะมอมแมมกับงานบ้านงานครัวแค่ไหนก็ตาม ผู้ชายที่จะช่วยเธอทำงานบ้านคลอเคลียอยู่กับเธอด้วยความรักความเสน่หา ชายผู้จะพาเธอไปเที่ยวดูหนังฟังเพลงผ่อนคลาย หรือซื้อของวันหยุด คอยหิ้วสิ่งของพะรุงพะรังตามหลังเธออย่างไม่เหน็ดเหนื่อย สองตาที่เคยมองหญิงอื่นจะหันกลับมาจ้องมองเธอแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่ว่าหญิงอื่นจะงามหยาดฟ้ามาดินมาจากไหนก็ตาม ไม่มีความหมายและความสำคัญต่อหัวใจจงรักภักดีดวงนี้ของเขา ชายผู้คอยกอดเธอไว้ในอ้อมกอดแห่งรักแห่งฝันจนกว่าจะหลับไปในวงแขนอบอุ่นคอยหวงแหนปกป้องคุ้มภัย
“แม่นอนแล้วค่ะ”
นั่นไง......ความเจ็บปวดความผิดหวังอย่างที่หวั่นเอาไว้ถาโถมเข้ามาราวทำนบพังครืน หัวใจของชายหนุ่มเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำไมเธอไม่ให้โอกาสเขาเลยสำหรับการเปลี่ยนไปในทางที่ดี หรือว่ามันสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียแล้ว
เงาวูบวาบมาจากชั้นบน และเสียงหวานใสคุ้นเคยเหลือเกินก็แว่วลงมา
“คุยกับใครหรือลูก ดึกแล้ว ทำไมไม่ขึ้นมานอน”
ชายหนุ่มใจเต้นระรัว นึกหาคำพูดที่จะทำให้เธอประทับใจเป็นครั้งแรกไม่ได้ ทำไมเขาต้องประหม่าราวกับเป็นเด็กหนุ่มหัดจีบสาวครั้งแรกด้วยก็ไม่รู้ ทั้งที่นั่นเป็นภรรยาผู้อยู่กินกันมานานหลายปี
“คุณพ่อกลับมาแล้วล่ะคุณแม่ขา.....มาจากนรก”
ลูกสาวคนดีที่หนึ่งร้องตอบขึ้นไปพลางจูงแขนผู้เป็นพ่อออกไปหาร่างบางในชุดนอนผู้กำลังก้าวลงมาจากบันได
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของเธอก็ดังสนั่นไปทั่วบ้าน เสียงนั้นดังจนชายหนุ่มสั่นไหวบิดเบี้ยวพร่ามัวราวเงาซึ่งปรากฏในน้ำถูกโยนก้อนหินลงไปรบกวน ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะมลายสลายไปพร้อมด้วยหัวใจอันแสนเจ็บปวดและความรู้สึกผิดอันรุนแรงถึงอดีตอันไม่อาจแก้ไขได้ตลอดกาล สิ่งสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงร้องประสานอย่างตกใจของลูกสาวสุดที่รักเมื่อเห็นผู้เป็นแม่ทรุดร่างลงกับพื้นก่อนจางหายไปกลายเป็นอากาศธาตุ
ความทรงจำที่ไม่อาจแก้ไขความผิดพลาดได้มันเจ็บปวดจนสุดบรรยายจริงๆ เขาเพิ่งนึกได้ว่าถ้าลูกสาวของเขาไม่เสียชีวิตเพราะอาการป่วยไข้เมื่อปีก่อนเธอก็คงจะอยู่ในวัยเท่านี้
ส่วนภรรยาของเขา เธอได้ตายไปแล้วเมื่อเดือนก่อนเพราะเขาเมาแล้วบันดาลโทสะพลั้งมือฆ่าเธอตายไปกับมือ
สำนึกสุดท้ายของชายหนุ่ม คือการเสียใจกับการกลับบ้านช้าเกินไปสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง การกลับตัวกลับใจอันสายเกินการณ์ รวมทั้งการนึกขึ้นมาได้ว่ามัจจุราชได้ลากวิญญาณบาปของเขาจากนรกจองจำเข้าไปในเงามืดแห่งอเวจีเมื่อเจ็ดวันที่ผ่านมานี่เอง
จบแล้วครับ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยือนครับ

ขอบคุณ youtube
การกลับบ้านครั้งสุดท้าย
การกลับบ้านครั้งสุดท้าย
=====================
ในซอยเปลี่ยวดึกสงัด มีสายฝนพรำปรอยๆ ผู้คนส่วนมากคงพากันพักผ่อนหลับนอน ชายหนุ่มเดินอย่างไม่เร่งรีบและไม่สนใจต่อความเปียกชื้น เพราะกำลังสนใจกับความคิดของตัวเอง
นานเท่าไรแล้วนะที่ชายหนุ่มไม่ได้เดินทอดน่องยามดึกแบบนี้
ทุกคืนรถแท็กซี่จะส่งเขาถึงบริเวณหน้าบ้านพร้อมกับอาการปั่นป่วนมวนท้องสะลืมสะลือเมามายจนจดจำอะไรแทบไม่ได้ บางทีชายหนุ่มหายออกจากบ้านไปหลายวัน โดยไม่สนใจคนผู้เฝ้ารออยู่ที่บ้าน ชีวิตช่วงหนุ่มหายไปกับการปีนลงไปในขวดเหล้าและอ่างอาบน้ำ ผู้หญิงและการพนัน สารพัดแห่งโลกีย์กิเลสทางโลก
ลูกสาววัยสี่ห้าขวบ เธอยังเด็กเกินไป เขาจึงไม่เกรงอกเกรงใจ ก็เป็นเพียงเด็กๆ ไม่เห็นจะต้องดูแลอะไรมาก เพราะมีคุณแม่คอยดูแลอยู่แล้ว เด็กก็คือเด็ก มีความสุขตามประสาเด็กๆ จะคิดอะไรให้มากมายเปลืองสมอง
นานมากแล้วที่เขาไม่ได้อุ้มลูกสาว กอดหอมด้วยความเอ็นดู ก็คงไม่เป็นไร ยังไงก็เป็นพ่อลูกกันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องแสดงความรักอะไรมากมาย รู้ๆกันอยู่ ชายหนุ่มมักคิดแบบนั้นเสมอ
ภรรยา...แม่ของลูก คนเฝ้าดูแลบ้านตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เธอเป็นแม่บ้านก็ควรประพฤติตัวเป็นแม่บ้านที่ดี ทำงานบ้าน มีความสุขกับการเก็บกวาดทำงานบ้าน เลี้ยงลูกอยู่กับบ้านอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่ต้องออกไปไหนมาไหนโดยไม่จำเป็นนอกจากไปจ่ายตลาด ออกนอกบ้านบ่อยเกินไปเดี๋ยวเปลืองตาย ปล่อยหน้าที่การออกจากบ้านให้เป็นภาระของสามีแสนดีอย่างเขาจะดีกว่า
นานเท่าไรนะที่ชายหนุ่มไม่ได้กระซิบคำว่ารักกับเธอ แต่มันคงไม่สำคัญหรอก ไหนๆ เธอก็เป็นภรรยาของเขาอยู่แล้วอย่างเชื่องเชื่อ จะหวานไปทำไมให้เสียเวลา ก็คำว่ารักนั่นมันใช้กันพร่ำเพรื่อตอนก่อนแต่งงานไปแล้ว ตอนนี้ต้องถึงเวลาประหยัดบ้าง บอกไปเดี๋ยวจะได้ใจ คำพูดดีๆมีค่าควรเมืองเก็บเอาไว้ใช้กับสาวๆ นอกบ้านดีกว่า
ส่วนตัวของสามี...เป็นผู้หาเงินหาทองเลี้ยงดูลูกเมีย ก็ควรได้รับรางวัลและสิทธิพิเศษ เช่นการออกไปผ่อนคลายความเครียด หาความสุขนอกบ้านบ้าง ยังไงก็ไม่ถึงกับทุกวัน แค่เกือบทุกวันเท่านั้นจะเป็นไร กฎหมายก็ไม่ได้ห้ามไว้
กี่คืนแล้วนะ สำหรับเฝ้ารอคอยการกลับบ้านของสามี แม้ว่าบางคืนผู้เป็นสามีไม่ได้กลับบ้านด้วยซ้ำ บางคืนชายหนุ่มกลับบ้านประมาณตีสองตีสามเธอก็ยังนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก ดูรายการทีวี ฟังวิทยุฆ่าเวลาไปตามเรื่องตามราว เขาเห็นแล้วรู้สึกเบื่อหน่ายรำคาญเหลือเกิน ทำไมจะต้องมานั่งรอให้เสียเวลานอนด้วยก็ไม่รู้ พวกผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริงๆ แค่เข้าไปนอนเสียก็สิ้นเรื่อง ข้าวปลาอาหารเขาก็จัดการเรียบร้อยมาจากข้างนอก ไม่เห็นต้องมาคอยถามว่ากินอะไรมาหรือยัง ไม่ต้องมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ก็ได้ เพราะสาวๆสวยๆ ดูแลเรื่องพวกนี้ให้เรียบร้อยก่อนกลับบ้านไม่ต้องมาทำหน้าเศร้าๆ ให้เห็น มันไม่สบอารมณ์ เห็นทีไรก็อารมณ์เสียหงุดหงิดจนเขาต้องตะคอกใส่ด้วยเสียงอันดังเสียแทบทุกครั้ง และห้ามเถียงโดยเด็ดขาด
นานเท่าไรกันนะที่ชายหนุ่มคิดแบบนั้น นึกแล้วอดตกใจต่อความคิดของตนเองไม่ได้ เพราะตอนนี้เขาเพิ่งเริ่มรู้สึกถึงความรักความอบอุ่นของคำว่า “ครอบครัว” ประสบการณ์ยาวนานสอนชายหนุ่มให้รู้สึกถึงความผิดพลาด เมื่อบริษัทค่อยล้มละลายลงต่อหน้าตาตา เพื่อนฝูงหลบลี้หนีหน้าราวกับเขาเป็นตัวเชื้อโรค และเงินก้อนสุดท้ายที่มีก็ใช้ไปในการละลายความทุกข์ของตัวเอง สาวหลายคนที่เคยติดต่อได้ต่างพากันไม่ยอมแม้แต่จะรับสาย เขากลายเป็นไอ้ขี้แพ้
แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขาเริ่มรู้จักกับตัวเองและครอบครัวมากขึ้น
สิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ตอนนี้คือบ้านและครอบครัว สิ่งที่เขาห่างเหินไม่สนใจมานานหลายปี
การกลับบ้านในสภาพยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่เหลือเกิน ความเงียบและความหนาวเย็นทำให้ความคิดต่างๆ นานาหลั่งไหลเข้ามาในความคิดไม่ขาดสายพร้อมกับความรู้สึกผิดซึ่งทวีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ภรรยาผู้แสนดีเธอยังจะนั่งรอเขาอยู่อย่างที่เคยทำหรือไม่ ลูกสาวคงหลับไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง และเริ่มวิตกหวาดกลัวว่าควรจะทำสีหน้าท่าทางอย่างไรดีกับภรรยาคู่ชีวิต ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นปัญหาขึ้นมาได้ เธอจะตกใจหรือไม่เมื่อเห็นเขากลับบ้านเป็นคืนแรกโดยไม่เมา!
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน ชายหนุ่มรีๆรอๆ ยังไม่กล้าเข้าไป ไฟบริเวณชั้นล่างยังเปิดอยู่ ใช่แล้ว... เธอต้องนั่งรอเขาอยู่อีกตามเคย พอคิดได้ชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่นและดีใจขึ้นมาอย่างประหลาด ทั้งที่เธอเคยนั่งรอเขานับครั้งไม่ถ้วนและทุกครั้งจะมีแต่ความน่ารำคาญสำหรับชายหนุ่ม
แต่คนแรกที่เขาเจอกลับเป็นลูกสาวตัวน้อย เธอยืนรออยู่หน้าประตูห้องนั่งเล่น ในมืออุ้มตุ๊กตาตัวโปรดมาด้วย พอเห็นหน้าผู้เป็นพ่อเธอก็วิ่งเข้ามากอดอย่างดีใจ แม้ว่าเวลาที่ผ่านมาเขาจะไม่ได้ให้ความรักความอบอุ่นกับเธอมากเท่าที่ควรก็ตาม
“ทำไมลูกยังไม่นอน”
ชายหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง เพราะนี่ไม่ใช่เวลาเด็กๆจะมาวิ่งเล่นกัน
“หนูนอนไม่หลับค่ะคุณพ่อ...หนูคิดว่าคุณพ่อจะมา.”
ลูกสาวบอกเสียงใส ชัดบ้างไม่ชัดบ้างตามประสาเด็กๆ ตาเป็นประกายสดใสซึ่งจะสุขทุกข์อย่างไรดูง่ายไร้การเสแสร้งปิดบัง โถ...เด็กเอ๋ย...หัวใจอันบริสุทธิ์ช่างเร็วไวต่อลางสังหรณ์เหลือเกิน
“คุณแม่ล่ะจ๊ะ”
หลังจากพูดคุยซักถามสารทุกข์สุขดิบกันครู่หนึ่ง ผู้เป็นพ่อก็ถามเข้าประเด็น เพราะไม่เห็นมีใครอีกในห้องนั่งเล่น วูบหนึ่งความน้อยใจวิ่งพรวดพราดเข้ามาในความคิดอย่างไม่ให้ตั้งตัว อะไรกัน...ก็ทุกคืนเคยนั่งรอ... แล้วทำไมคืนนี้... คืนที่เขาเริ่มรู้สึกผิดและรู้สึกดีต่อครอบครัวกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ช่วงเวลาอันสวยงามกำลังจะคลี่ขยายประกายแห่งความสุข เธอควรจะเป็นคนแรกในการรับรู้
รับรู้ความตั้งใจของสามีผู้จะกลับตัวกลับใจ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่มีอีกแล้วผู้ชายขี้เมาหยาบคาย เอะอะโวยวาย และเอาแต่ใจคนนั้น จะมีแต่ผู้ชายแสนดีผู้รีบกลับบ้านตรงเวลา ผู้ชายที่จะปรี่ไปหาคนรักเป็นอันดับแรก บรรจงจูบสองแก้มเธอด้วยความรักความคิดถึงไม่ว่าเธอจะมอมแมมกับงานบ้านงานครัวแค่ไหนก็ตาม ผู้ชายที่จะช่วยเธอทำงานบ้านคลอเคลียอยู่กับเธอด้วยความรักความเสน่หา ชายผู้จะพาเธอไปเที่ยวดูหนังฟังเพลงผ่อนคลาย หรือซื้อของวันหยุด คอยหิ้วสิ่งของพะรุงพะรังตามหลังเธออย่างไม่เหน็ดเหนื่อย สองตาที่เคยมองหญิงอื่นจะหันกลับมาจ้องมองเธอแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่ว่าหญิงอื่นจะงามหยาดฟ้ามาดินมาจากไหนก็ตาม ไม่มีความหมายและความสำคัญต่อหัวใจจงรักภักดีดวงนี้ของเขา ชายผู้คอยกอดเธอไว้ในอ้อมกอดแห่งรักแห่งฝันจนกว่าจะหลับไปในวงแขนอบอุ่นคอยหวงแหนปกป้องคุ้มภัย
“แม่นอนแล้วค่ะ”
นั่นไง......ความเจ็บปวดความผิดหวังอย่างที่หวั่นเอาไว้ถาโถมเข้ามาราวทำนบพังครืน หัวใจของชายหนุ่มเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำไมเธอไม่ให้โอกาสเขาเลยสำหรับการเปลี่ยนไปในทางที่ดี หรือว่ามันสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียแล้ว
เงาวูบวาบมาจากชั้นบน และเสียงหวานใสคุ้นเคยเหลือเกินก็แว่วลงมา
“คุยกับใครหรือลูก ดึกแล้ว ทำไมไม่ขึ้นมานอน”
ชายหนุ่มใจเต้นระรัว นึกหาคำพูดที่จะทำให้เธอประทับใจเป็นครั้งแรกไม่ได้ ทำไมเขาต้องประหม่าราวกับเป็นเด็กหนุ่มหัดจีบสาวครั้งแรกด้วยก็ไม่รู้ ทั้งที่นั่นเป็นภรรยาผู้อยู่กินกันมานานหลายปี
“คุณพ่อกลับมาแล้วล่ะคุณแม่ขา.....มาจากนรก”
ลูกสาวคนดีที่หนึ่งร้องตอบขึ้นไปพลางจูงแขนผู้เป็นพ่อออกไปหาร่างบางในชุดนอนผู้กำลังก้าวลงมาจากบันได
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของเธอก็ดังสนั่นไปทั่วบ้าน เสียงนั้นดังจนชายหนุ่มสั่นไหวบิดเบี้ยวพร่ามัวราวเงาซึ่งปรากฏในน้ำถูกโยนก้อนหินลงไปรบกวน ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะมลายสลายไปพร้อมด้วยหัวใจอันแสนเจ็บปวดและความรู้สึกผิดอันรุนแรงถึงอดีตอันไม่อาจแก้ไขได้ตลอดกาล สิ่งสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงร้องประสานอย่างตกใจของลูกสาวสุดที่รักเมื่อเห็นผู้เป็นแม่ทรุดร่างลงกับพื้นก่อนจางหายไปกลายเป็นอากาศธาตุ
ความทรงจำที่ไม่อาจแก้ไขความผิดพลาดได้มันเจ็บปวดจนสุดบรรยายจริงๆ เขาเพิ่งนึกได้ว่าถ้าลูกสาวของเขาไม่เสียชีวิตเพราะอาการป่วยไข้เมื่อปีก่อนเธอก็คงจะอยู่ในวัยเท่านี้
ส่วนภรรยาของเขา เธอได้ตายไปแล้วเมื่อเดือนก่อนเพราะเขาเมาแล้วบันดาลโทสะพลั้งมือฆ่าเธอตายไปกับมือ
สำนึกสุดท้ายของชายหนุ่ม คือการเสียใจกับการกลับบ้านช้าเกินไปสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง การกลับตัวกลับใจอันสายเกินการณ์ รวมทั้งการนึกขึ้นมาได้ว่ามัจจุราชได้ลากวิญญาณบาปของเขาจากนรกจองจำเข้าไปในเงามืดแห่งอเวจีเมื่อเจ็ดวันที่ผ่านมานี่เอง
จบแล้วครับ
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยือนครับ
ขอบคุณ youtube